��������� ถือเป็นอีกหนึ่งเกมสุดมันส์หลังจาก เลสเตอร์ มารัวประตูคืนทีเดียว 3 ลูกใน 6 นาทีพลิกกลับมาเอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 โดยที่ โอซาน คาบัค แนวรับคนใหม่ "หงส์แดง" มีจังหวะผิดพลาดด้วยการสกัดบอลให้ เจมี่ วาร์ดี้ หลุดเข้าไปยิงง่ายๆ ทำให้ทีม "จิ้งจอก" แซง แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงชั่วคราว ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา
��� ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่แรกประจำวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 64 ที่สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เป็นการพบกันระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 ของตาราง พบ ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 4
��� เบรนแดน รอดเจอร์ส� พาทีม สุนัขจิ้งจอก ไม่แพ้ใคร 3 นัดในทุกรายการ เกมนี้มีปัญหาการจัดทัพเมื่อไม่มี เจมส์ จัสติน ที่มีอาการบาดเจ็บ โดยส่ง แดเนียล อมาร์ตีย์� ลงประจำการแทนในตำแหน่งแบ็กขวา ขณะที่แนวรุกนำมาโดย เจมส์ แมดดิสัน และ เจมี่ วาร์ดี้ ลงล่าตาข่าย
��� ด้าน ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมมนี้ส่ง โอซาน คาบัก ปราการหลังตัวใหม่ลงประเดิมสนามเป็นตัวจริงแทน ฟาบิน โญ่ ที่มีอาการบาดเจ็บ ลงจับคู่เซ็นเตอร์กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ขณะที่สามประสานแนวรุกยังลงครบครันทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่
��� ครึ่งแรกเปิดฉากมาเป็น ลิเวอร์พูล ที่ขึงบุกใส่ได้มากกว่าแต่ยังไม่มีจังหวะจบสกอร์ได้แบบจะแจ้งเท่าไหร่
��� จากนั้น นาทีที่ 11 เลสเตอร์ มีโอกาสสวนกลับมาบ้าง ฮาร์วีย์ บาร์นส์ วางบอลตัดแนวรับ ลิเวอร์พูล ให้ เจมี่ วาร์ดี้ ใช้ความเร็วหลุดเข้าเขตโทษก่อนจะกระดกบอลข้าม อลิสซอน เบ็คเกอร์ แต่บอลข้ามคานออกไป
��� ลิเวอร์พูล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็ว ในนาที 17 หลังจาก เจมส์ มิลเนอร์ มีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวแล้วเป็น ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงมาเล่นแทน
��� "หงส์แดง" มีโอกาสชัดเจนมากขึ้น นาที 25 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จ่ายทะลุช่องให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หลุดเดี่ยวไปซัดมุมแคบด้วยขวา แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ออกมาปิดมุมได้เร็วใช้เท้าสกัดออกหลังไปหวุดหวิด
��� เกมของ ลิเวอร์พูล เริ่มแผ่วลงไป ขณะที่ เลสเตอร์ ได้บุกมากขึ้น นาที 36 เจ้าถิ่นหวิดได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะที่ ฮาร์วีย์ บาร์ส์ เปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษให้ เจมี่ วาร์ดี้ ได้ขึ้นโขกเน้นๆ แต่บอลยังไปตรงตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ รับเข้าซอง
��� ทั้งสองทีมเปิดหน้าแลกกันสนุก นาที 38 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน หลุดขึ้นมาในเขตโทษฝั่งซ้ายแล้วซัดทันทีบอลไปแฉลบ แดเนียล อมาร์ตีย์ เฉี่ยวเสาไกลออกหลังไปนิดเดียว
��� เกมเปิดหน้าแลกกันสนุก เลสเตอร์ ได้โอกาสทองใกล้เคียงที่จะได้ประตูขึ้นนำสุดๆ ใน นาที 42 โอซาน คาบัก พลาดไปลื่นล้ม ก่อนจะโดน เจมี่ วาร์ดี้ ฉกบอลหลุดเดี่ยวเข้าไปซัดเหน่งๆแต่บอลไปชนคานอย่างจัง
��� ท้ายครึ่งแรก นาที 44 ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นจากจังหวะฟรีคิกหน้าเขตโทษแต่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยิงติดกำแพงช่วยบล็อกไว้ได้ และเป็นจังหวะส่งท้ายครึ่งแรกจบลงไปด้วยผลเสมอ 0-0
��� กลับมาหวดกันต่อในครึ่งหลัง นาที 56 ลิเวอร์พูล ใกล้เคียงจะได้ประตูขึ้นนำสุดจากจังหวะซัดฟรีคิกระยะ 30 หลาของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บอลไปแฉลบกำแพง เลสเตอร์ ก่อนไปชนคานกระดอนออกมา�
��� ลิเวอร์พูล ครองเกมได้อยู่หมัดขึงบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียว ส่วน เลสเตอร์ รูปเกมดร็อปลงไปจากครึ่งแรกอย่างเห็นได้ชัดหาจังหวะสวนกลับไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน
��� จนกระทั่ง นาที 67 ความพยายามของของ ลิเวอร์พูล มาประสัมฤทธิ์ผลขึ้นนำ 1-0 โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไหลบอลคืนหลังให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วางเท้าแปเล่นทางด้วยซ้ายส่งบอลเสียบหน้าต่างเสาไกลอย่างสวยงาม
��� แต่กระนั้น นาที 78 เลสเตอร์ ได้ประตูตามตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะกึ่งยิงกึ่งผ่านเข้ามาของ เจมส์ แมดดิสัน ก่อนจะที่ แดเนียล อมาร์ตีย์ พยายามสะกิดเปลี่ยนทางแต่ไม่โดนบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไป แม้ว่าผู้ช่วยจะยกธงให้เป็นจังหวะล้ำหน้าแต่เมื่อย้อนดูวีเออาร์ อมาร์ตีย์ อยู่ในไลน์พอดี
��� เท่านั้นไม่พอ นาที 81 เลสเตอร์ พลิกขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะที่ วางบอลยาวจากแนวรับของ ยูริ ตีเลอมันส์ อลิสซอน เบ็คเกอร์ พยายามออกมาเคลียร์นอกกรอบ แต่สื่อสารกับ โอซาน คาบัค ไม่ดี โดยแนวรับชาวตุรกีสกัดบอลพลาดไปเข้าทาง เจมี่ วาร์ดี้ เลี้ยงหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงแบบง่ายๆ
��� เลสเตอร์ เริ่มได้ใจนำห่างเป็น 3-1 ในนาที 85 จากจังหวะแทงทะลุช่องของ อโยเซ่ เปเรซ ให้ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ หลุดเดี่ยวไปซัดผ่านมือ อลิสซอน เข้าประตูไป
��� เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม เลสเตอร์ ซิตี้ พลิกแซงชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 แซง แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงชั่วคราว
���
��������� รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
��������� เลสเตอร์ ซิตี้ (3-4-2-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล - จอนนี่ อีแวนส์, ชักลาร์ โซยุนชู, แดเนียล อมาร์ตีย์ -� ริคาร์โด้ เปเรยร่า, ยูริ ตีเลอมันส์, วิลฟรีด เอ็นดิดี้, มาร์ค อัลไบรท์ตัน (อโยเซ่ เปเรซ น.74) - เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ - เจมี่ วาร์ดี้
��������� ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โอซาน คาบัค, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - เจมส์ มิลเนอร์ (ติอาโก้ อัลกันตาร่า น.17), เคอร์ติส โจนส์, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรเบอร์โต้ ฟิร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่